วาทินี ศรีบัวรอด
ความนำ
การขอรับชำระหนี้เป็นขั้นตอนหนึ่งที่เจ้าหนี้ทั้งหลายจะต้องดำเนินการเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลายเมื่อมีเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย อันจะทำให้เจ้าหนี้เหล่านั้นมีสิทธิ
ที่จะได้รับชำระหนี้ของตนจากลูกหนี้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะทำให้เจ้าหนี้นั้นอาจมีสิทธิจำหน่ายหนี้สูญและนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้อีกด้วย
การขอรับชำระหนี้จะต้องกระทำขึ้นภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้วโดยเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือเจ้าหนี้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หรือเจ้าหนรฃี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้าแล้วแต่คดี
อยู่ระหว่างการพิจารณา หรือเป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายอื่นใด ต้องยื่นคอขอรับชำนะหนนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหยดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด๑ หรือหากเป็นกรณีเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกิน ๒ เดือน หากเจ้าหนี้ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จะไม่มีสิทธิได้รับชำระหนัฃี้ของตนเนื่องจากลูกหนี้อาจหลุดพ้นในหนี้สินดังกล่าวโดยสิ้นเชิง
-------------------------------------------------------------------------------------------
*น.บ., นบท., น.ม. (ธรรมศาสตร์) สาขากฎหมายธุรกิจ, นิติกร ๕ สำนักงานสรรพากรภาค ๑ ผู้เขียนของขอบคุณรองศาสตราจารย์ ดร.สุเมธ ศิริรุณาโชติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ช่วยตรวจอ่าน
และวิจารณ์บทความนี้ สำหรับผู้สนใจปัญาประเด็นอื่นที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ โปรดดู วาทินี ศรีบัวรอด, "ปัญหาภาษีเงินได้เกี่ยวกับการจำหน่ายหนี้สูญในกรณีส้มละลาย," สารนิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัญฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,๒๕๕๐
๑ มาตรา ๒๗ และมาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ ๒๔๘๓
-------------------------------------------------------------------------------------------
บทความนี้เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ประเด็นปัญหาและเสนอแนวทางแก้ปัญหาบางประการในเรื่องหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขอรับชำระหนี้ที่ทำให้เจ้าหนี้สามารถจำหน่ายหนี้สูญตามประมวลรัษฎากรได้
๑.หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขอรับชำระหนี้ที่ทำให้เจ้าหนี้จำหน่ายหนี้สูญตามประมวลรัษฎากรได้
การขอรับชำระหนี้ที่จะทำให้เาหนี้จำหน่ายหนี้สูญและนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้นั้น กฎกระทรวงฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ.๒๕๓๔) ซึ่งออกตามความในมาตรา ๖๕ ทวิ (๙) แห่งประมวลรัษฎากร
ได้กำหนดไว้ ๒ กรณี ดังนี้
๑ กรณีลูกหนี้รายนั้นมีหนี้ไม่เกิน๕๐๐,๐๐๐บาท เงื่อนไขประการแรกคือ เจ้าหนี้จะต้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งรับคำขอรัลชำระหนี้นั้นแล้ว และเงื่อนไขประ
การต่อมาคือ กรรมการหรือหุ้นส่วนผุ้จัดการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเจ้าหนี้จะต้องมีคำสั่งอนุมัติให้จำหน่ายหนี้นั้นเป็นหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบะญชี เจ้าหนี้จึงจะจำหน่ายหนี้สูญและนำมาเป็น
รายจ่ายในทางภาษีอากรได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ศาลได้มีคำสั่งรับคำขอรับชำระหนี้นั้น๒
๒.กรณีลูกหนี้รายนั้นมีหนี้เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขึ้นไป เจ้าหนี้จะต้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และต้องประกอบกัยข้อเท็จจริงว่าลูกหนี้ทำคำขอประนอมหนี้เป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงาน
พิทักษ์ทรัพย์และที่ประชุมเจ้าหนี้ตกลงยอมรับคำขอประนอมหนี้ด้วยมติพิเศษและศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้นแล้ว เจ้าหนี้จึงจะจำหน่ายหนี้สูญและนำมาเป็นรายจ่ายในทางภาษีอากำได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ศาลเห็นชอบ
ด้วยกับการประนอมหนี้กรณีหนึ่ง หรือมีการดำเนินกระบวนพิจารณาไปจนถึงขั้นที่ลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว เจ้าหนี้จึงจะจำหน่ายหนี้สูญและนำมาเป็นรายจ่ายในทางภาษีอากร
ได้รอบระยะเวลาบัญชีที่มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรก อีกกรณีหนึ่ง๓
๒.ปัญหาการจำหน่ายหนี้สูญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในเรื่องการขอรับชำระหนี้ที่สัมพันธ์กับรูปแบบของการเริ่มคดีล้มละลาย
การยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นเกิดขึ้นจากการเริ่มดคีล้มละลายได้หลายกรณี เช่น
๑.การเริ่มคดีด้วยการฟ้องคดีล้มละลาย ตัวอย่างเช่นกรณี
(๑.๑) เจ้าหนี้ที่จะจำหน่ายหนี้สูญฟ้องคดีล้มละลายเอง
(๑.๒) เจ้าหนี้รายอื่นฟ้องคดีล้มละลาย
(๑.๓) พนักงานอัยการฟ้องผู้กู้ยืมเงินที่เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา ๔ หรือมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อบุคคลนั้นเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
หรือมีสินทรัพย์ไม่พอชำระหนี้ได้ เป็นผู้ให้กู้ยืมเงินรายหนึ่งหรือหลายรายเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ แสนบาท และหนี้นั้นอาตกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ๔ ซึ่งพนักงานอัยการมีฐานะเสมือนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์
๒.การเริ่มคดีด้วยการร้องขอให้ล้มละลายหรือร้องขอให้ศาลมีตำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตัวอย่างกรณีเช่น
(๒.๑) ผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือนิติบุคคลอื่น ๆ ยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้สั่งให้นิติบุคคลนั้นล้มละลาย เมื่อปรากฎว่าเงินลงทุนหรือเงินค่าหุ้นได้ใช้เสร็จหมดแล้วสินทรัพย์ยังไม่พอกับหนี้สิน๖ ซึ่งเมื่อศาลได้รับ
คำร้องขอแล้ว จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนิติบุคคลนั้นเด็ดขาดทันที๗
(๒.๒) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจมีคำขอโดยทำเป็นคำร้องให้บุคคลซี่งนำสืบได้ว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดล้มละลายตามห้างได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีขึ้นใหม่๘
(๒.๓) บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันที่ไม่ให้ความร่วมมือกับ บสท. ในการปรับโครงสร้างหนี้ตามที่ บสท. สั่งโดยที่ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันนั้นอยู่ในฐานะที่จะดำเนินการ
หรือยักย้ายถ่ายเทหรือปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์เด็ดขาดได้ทันที โดยไม่ต้องดำเนินการไต่สวน
ส่วนการยื่นคำขอรับชำระหนี้เพื่อจำหน่ายหนี้สูญตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ. ๒๕๓๔ ) ข้อ ๔ (๓) และข้อ ๕ (๓) นั้นคือ การยื่นคำขอรับชำระหนี้ "ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย"๑๐ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มต้นคดี
ด้วยการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้รายอื่นเท่านั้น แต่เนื่องจากการยื่นคำขอรับชำระหนี้อาจเกิดขึ้นจากการเริ่มต้นคดีได้หลายกรณีดังที่ได้กล่าวมาคือ อาจมีการเริ่มดคดีจากการที่เจ้าหนี้รายอื่นร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือมีการเริ่มคดีจากการที่ผู้อื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ เช่น ผู้
ชำระบัญชี หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องของให้ล้มละลาย ทั้งนี้เพราะไม่ว่าการเริ่มคดีจะเริ่มต้นด้วยคำฟ้อง หรือคำร้องขอ หรือเริ่มคดีโดยผู้เป็นเจ้าหนี้ หรือผู้อื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ แต่เมื่อศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ระบบการจัดการหนี้ก็จะเป็นไปในลักษณะของคดีล้มละลาย
ปกติเช่นเดียวกัน คือ เจ้าหนี้ทั้งหลายจะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังนั้น จึงมีประเด็นที่น่าคิดว่า การที่หลักเกณฑ์ในการจำหน่ายหนี้สูญกำหนดชัดเจนว่า "...หรือยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย..." นั้น
จะสามารถตีความให้หมายความรวมถึงการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นร้องขอพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือในคดีที่ลูกหนี้ถูกผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ร้องขอให้ล้มละลาย
๓. การขอรับชำระหนี้ในคดีล้นละลายที่เริ่มคดีจากการร้องขอให้ล้มละลาย
กรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่า อาจตีความคำว่า "ฟ้องในคดีล้มละลาย" ให้หมายความรวมถึง "ร้องขอให้ล้มละลาย" หรือ "ร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด" ได้โดยอาศัยการตีความตามความ มุ่งหมายประกอบกับการนำบทบัญญัติประมวกกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับใช้ใน
กรณีที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยล้มละลาย๑๑ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บทวิเคราะห์ศัพท์ของคำว่า "คำฟ้อง" หมายความว่า "กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทกืได้เสนอข้อหาต่อศาล... ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้อง หรือคำร้องขอ.."๑๒
ดังนั้น การเริ่มคดีล้มละลายโดยยื่นคำร้องขอให้ล้มละลายหรือคำร้องให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ย่อมถือได้ว่าเป็นคำฟ้องในคดีล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้ซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่เริ่มคดีจากการ้องขอให้ล้มละลายนั้น จึงสามารถจำหน่ายหนี้สูญและนำมาหักเป็นรายจ่ายในกาาคำนวณ
กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้โดยอาศัยการตีความดังกล่าว
๔. การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่เริ่มคดีโดยผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้
กรณีที่ลูกหนี้ถูกผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ เช่นผู้ชำระบัญชี หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ร้องขอให้ล้มละลายนั้น หากตีความตามตัวอักษรแล้ว หลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญที่กำหนดชัดเจนว่า "คดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง"
ย่อมไม่อาจตีความให้หมายความรวมถึงคดีที่ลูกหนี้ถูกผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ร้องขอได้ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกรณีดังกล่าวที่ไม่สามารถจำหน่ายหนี้สูญได้ เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์
ที่ประมวลรัษฎากรกำหนด แต่หากตีความตามความมุ่งหมายหรือเจตนาราณ์ของหลักเกณฑ์ดังกล่าวผู้เขียนเห็นว่า ความมุ่งหมายของหลักเกณฑ์ดังกล่างเพียงต้องการให้เจ้สหนี้ที่จะจำหน่ายหนี้สูญต้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
ที่ตนไม่ได้เป็นโจทก์ฟ้องเองเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายนั้นจะเป็นเจ้าหนี้หรือบุคคลใดอีกทั้ง ผู้ชำระบัญชี และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ก็ได้ยื่นคำร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแทนผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยกรณีผู้ชำระบัญชีร้องขอให้ล้มละลาย เ
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนิติบุคคลนั้นเด็ดขาดแล้วที่ประชุมเจ้าหนี้ก็จะต้องแต่งตั้งเจ้าหนี้คนหนึ่งขึ้นให้มีสิทธิและหน้าที่เสมือนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ๑๓ ส่วนกรณีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ล้มละลายก็มีเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดให้ล้มละลายอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้าง จึงเป็ยการสืบเนื่องมาจากคดีที่มีเจ้าหนี้รายอื่นได้ฟ้องคดีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า การตีความตามความมุ่ง
หมายหรือเจตนารมณ์ของหลักเกณฑ์ดังกล่าวสามารถตีความในลักษณะขยายความโดยไม่เกินเจตนารมณ์ของบทบัญญัติ ให้าการจำหน่ายหนี้สูญสามารถกระทำได้เมื่อได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกผู้ชำระบัญชี หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ล้มละลายได้ด้วย และกรมสรรพากรควรตีความ
ในลักษณะเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในกรณีนี้ให้สามารถจำหน่ายหนี้สูญได้เช่นเดียวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในกรณีอื่น ๆ ดังกล่าวมาแล้ว
สรุป
การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอาจไม่สามารถทำให้เจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำหน่ายหนี้สูญและนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เสมอไป หากมีการตีความหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ ๒๕๓๔ ) ตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดซึ่งย่อมทำให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับสิทธิในการจำหน่ายหนี้สูญและนำมาเป็นรายจ่ายในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลแตกต่างกัน ทั้งที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเช่นเดียวกัน
การตีความในบทความนี้จึงเป็นการหาทางออกหรือหาเหตุผลสนับสนุนให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ไม่ว่าจะเป็นคดีล้มละลายที่เริ่มคดีจากการยื่นคำฟ้อง หรือคำร้อง หรือเริ่มคดีจากเจ้าหนี้รายอื่นหรือจากผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้
ให้สามารถขำหน่ายหนี้สูญและนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ อย่างไรก็ดีหากต้องการป้องกันปัญหาในการตีความอนาคตและเพื่อเป็นการองรับรับบทบัญญัติเกี่ยวกับการเริ่มคดีล้มละลายในลักษณะใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากกฏหมายพิเศษ เช่นเดียวกับกรณี
ของ บสท. ที่เริ่มคดีล้มละลายตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ ผู้เขียนเห็นว่า การแก้ไขหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้กว้างขึ้น น่าจะเป็นทางออกที่ดีโดยในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ข้อ ๔ (๓) และข้อ ๕ (๓) อาจกำหนดเพียงว่า "ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้
ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย" ก็น่าจะมีความชัดเจนและเพียงพอแล้ว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๔ มาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗
๕ มาตรา ๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗
๖ มาตรา ๘๘ แห่งประบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ และมาตรา ๑๒๖๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
๗มาตรา ๘๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓
๘ มาตรา ๘๙ แห่งพระราชบัญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓
๙ มาตรา ๕๘ วรรคท้าย แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.๒๕๔๔
๑๐ กฏกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ. ๒๕๓๔ ) ข้อ ๔ (๓) มีข้อความว่า "ได้ดำเนินการฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ราบอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆ ได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบ
ด้วยกับการประนอมหนี้นั้น หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของ ลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว"
ข้อ ๕ (๓) มีข้อความว่า "ได้ดำเนินการฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งรับคำฟ้องนั้นแล้ว หรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งรับคำขอรับชำระหนี้นั้นแล้ว"
๑๑ มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒
๑๒ มาตรา ๑ (๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
๑๓ มาตรา ๘๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
ที่มา หนังสือระพี 50